โลกของการทำแบรนด์ถูกดิสรัปชันไปเยอะจากการที่มีดิจิทัลเข้ามา อาจารย์มองว่าการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นคืออะไรบ้าง?

• จุดมุ่งเน้นของแบรนด์ที่มีความสับสนใจการทำการตลาดอยู่ เมื่อพูดถึงแบรนด์เราจะโฟกัสที่ Value หรือคุณค่าที่ผู้บริโภคได้รับ แต่ถ้าเราพูดถึง Marketing จะโฟกัสที่เรื่องคุณประโยชน์ของสินค้า จริงๆ มันไปด้วยกัน แต่จุดมุ่งเน้นของคุณประโยชน์ของสินค้า เราจะพูดถึง Functional เยอะ เน้นการจับต้องได้ ช่วงแรกๆ เราเลยมองว่าแบรนด์คือ Emotional Marketing แต่ถ้าพูดเรื่องอารมณ์อย่างเดียว การจะไปครีเอจอะไรจะไม่ค่อยชัดนัก ดังนั้นใช้คำว่า Value ชัดกว่า พอมาถึงยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างอยู่บนแพลตฟอร์มดิจิทัลทั้งหมด มีทั้งความท้าทายใหม่ๆ ที่ทั้งยากและง่าย เรื่องของการส่งมอบหรือการสร้างคุณค่าในจิตใจคนให้ผูกพันกับแบรนด์ผ่านสินค้าหรือบริการ 
• สมัยก่อนเจ้าของแบรนด์จะครีเอจว่าต้องการให้คนมองแบรนด์ตัวเองอย่างไร แต่ในยุคปัจจุบัน เมื่อเกิดดิจิทัลดิสรัปชัน จะเห็นว่า Content ของผู้ประกอบการและผู้บริโภค ตอนนี้ไม่ได้ถูกสร้างทางฝั่งใดฝั่งหนึ่ง และ Content ที่มีความหมายในใจคนมาจากฝั่งผู้บริโภคด้วยซ้ำ Immigration ที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่การฟังเสียงผู้บริโภค แต่เป็นการเชฟแมสเสจของผู้บริโภคด้วยกันถึงกัน เขาเชื่อกันเอง ดังนั้น สิ่งที่ต้องโฟกัสคือการทำให้แทสเสจที่อยู่บนโลกใบนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ดูแลข้อความเหล่านั้นผ่านการดูแลความรู้สึกด้วยคุณค่าที่แบรนด์ต้องการให้คนรับรู้ 

วิธีการที่แบรนด์จะทำการตลาดจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง?

แต่ก่อนแบรนด์ทำแคมเปญ แบรนด์จะพยายามเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง และพยายามบงการชี้นำบางอย่างให้เกิดกระแสให้คนรับรู้ แต่ตอนนี้ทำแบบนั้นลำบาก เพราะคนไม่ได้ต้องการตั้งรับฝั่งแบรนด์ ผมมองว่าทุกแบรนด์ควรจะ Brand Community Campaign คือแต่ละแคมเปญให้พยายามสร้าง Community คือนำลูกค้าหรือผู้บริโภคมารวมเป็น Community ชักจูงและสร้างแรงจูงใจในเรื่องเดียวกัน ใส่ความเชื่อที่เป็นบวกในเรื่องเดียวกันแต่เชื่อมโยงกับแบรนด์ของเรา

มีอะไรเป็นส่วนช่วยเตือนได้ว่าเรา Over Investment Technology ?

• เรามักจะมองแบรนด์ใหญ่ๆ เพราะมีผลต่อโลกใบนี้เยอะ ทีนี้อะไรจะบอกว่ามันน้อยหรือเยอะเกินไปในเซนส์ของการใช้เทคโนโลยี ผมว่าการใช้เทคโนโลยีเข้ามามันก็มีข้อดี แต่ว่าถ้าเราเป็นแบรนด์เล็กๆ ก็คงต้องมองว่า ที่นำเทคโนโลยีเข้ามานั้นเพื่ออะไร สร้างการรับรู้แค่ไหนให้กับแบรนด์ การทำแพลนทั้งหมดผมจะกลับมาคิดเรื่อง 2C เสมอ คือ Capability คือความสามารถ วัดกำลังตัวเองก่อน แล้วก็ดูว่ามี Capacity คือมีกำลังไหม ถ้าพูดง่ายๆ คือเรามีกำลังซื้อแค่ไหน มันคือหลักการง่ายๆ ของการทำ SWOT Analysis “Strength ไม่เป็น Strength ถ้ามันเกินกำลัง” ทุกๆ แบรนด์ไม่ได้เดินทางเดือนเดียว ปีเดียว ดังนั้น Milestone ที่เราวิ่งเราควรจะรู้ว่าเราอยู่ที่จุดไหน ถ้าเราเพิ่งเริ่มต้นไซส์เราเล็ก การใช้เทคโนโลยีเข้ามามันเกินกำลังเราหรือไม่ แล้วที่สำคัญ ผู้บริโภคเชื่อหรือไม่ ผมให้ข้อคิดไว้ว่าเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยต้องให้คุณค่าในใจผู้บริโภคอย่างเด่นชัด ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นแค่แฟนซีแล้วคนลืม ความพอดีจะทำให้เราเด่นชัด 
• ในยุคนี้คนมักมองว่าในการทำแบรนด์เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องใช้เทคโนโลยี แต่จริงๆ แล้วผมมองว่าประเด็นสำคัญอยู่ที่การให้ผู้บริโภคได้แชร์ และแบ่งปัน ส่งต่อประสบการณ์ คุณค่าของแบรนด์ให้แก่กันและกัน ให้ผู้บริโภคคุยกับผู้บริโภคด้วยกันเอง แบรนด์ต้องมองว่าเราจะเป็นส่วนหนึ่งให้ชีวิตคนดีขึ้นได้อย่างไร อีกมุมมองหนึ่งคือ ในยุคดิจิทัลทุกวันนี้ ทุกคนมองว่าตัวเองทำได้ และเชื่อแบรนด์น้อยลง ดังนั้นเราต้องให้ผู้บริโภคเป็นคนส่งมอบคุณค่านี้กันเอง มากกว่าไปเชฟเรื่องแมสเสจที่แบรนด์จะส่งมอบให้กับผู้บริโภค

สามารถฟังพอดแคสต์ Marketing I Can
ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ที่คุณสะดวกหรือใช้อยู่แล้วได้เลย YoutubeSpotifyPodcast

FOLLOW US

FacebookInstagramYoutubeLine