“หลายๆ คนที่รู้จักผมน่าจะพอทราบว่า ผมเคยเป็นพนักงานเฟสบุ๊ค ประเทศไทยมาก่อน เป็นพนักงานคนที่สอง ทำให้ผมได้รับคำถามหนึ่งบ่อยมากว่า คุณเอกเข้าไปเป็นพนักงานได้ยังไง ผมเลยได้ชวนเพื่อนที่เคยทำงานในเฟสบุ๊คด้วยกันอีกสองคนมาที่บ้าน เพื่อจะพูดคุยว่าตอนนั้นเราเตรียมตัวกันยังไงบ้าง เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับคนอื่นๆ ที่อยากเข้าทำงานที่เฟสบุ๊ค” 

ทำยังไงถึงจะได้เข้าทำงานที่เฟสบุ๊คประเทศไทย?

         เท่าที่เราสังเกตตอนได้เข้าไปทำงาน แทบจะไม่มีเด็กจบใหม่เท่าไหร่ ถ้าใครอยากจะเข้าให้เข้าไปดูก่อนว่าอยากจะทำแนวครีเอทีฟ หรืออยากทำเป็นแนววิเคราะห์ หรืออยากขายโฆษณา มันมีหลายบทบาทที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป อย่างกานต์เคยทำโรล CSM คือ Client Solution Manager จะต้องมีเรื่องของตัวเลขเข้ามาเกี่ยวแน่นอน แล้วเราต้องรู้โปรดักซ์ของเฟสบุ๊ค ซึ่งเฟสบุ๊คทำเงินจากโฆษณามากที่สุด 95% เราต้องเรียนรู้ตรงนี้และแนะนำลูกค้าได้ว่าจะใช้ยังไงให้เกิดผลดีมากที่สุด สำหรับเรื่องเรซูเม่หรือซีวี ประสบการณ์ของคนที่จะเข้ามีหลากหลายมาก เช่น มาจากแบรนด์ ขายอาหารสุนัขมา เป็นที่ปรึกษา เป็นเอเจนซี่มาก่อน ดังนั้นเขาจะดูว่าความสามารถเราเข้ากับงานที่จะทำหรือเปล่า 

ในการสัมภาษณ์ คิดว่าอะไรเป็นที่ถูกใจของกรรมการ?

         ต้องรู้จักโปรดักซ์เยอะๆ ควรจะเคยใช้โฆษณาเฟสบุ๊คมาก่อน ไม่ใช่แค่การบูสต์โพสต์ ถ้าเราเจาะลึกลงไปจะพบว่ามีวิธีการซื้อถึง 11 แบบ เช่น อยากให้คนมาคอมเมนต์ มาไลค์ หรือมาซื้อของในหน้าเพจ เป็นต้น ถ้าร็ตรงนี้ช่วยได้ถึง 60% แล้ว ส่วนอีก 40% จะเป็น Behavior Question เช่น ถ้าคุณต้องทำงานเป็นทีม จะมีวิธีการจัดการยังไง ไม่ได้ตายตัวว่าต้องการคนพฤติกรรมแบบไหน แค่มองว่าถ้าเข้ามาทำงานจะแมทช์กับงานนั้นๆ ได้มั๊ย แต่ที่สำคัญ ต้องเป็นคนที่สามารถจัดลำดับความสำคัญของงานได้ เลือกงานสำคัญมาทำก่อน เพราะในเนื้องานจะต้องให้บริการหลายกลุ่มลูกค้า โดยหลักเขาจะมองหาที่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจ โดยเฉพาะการใช้ข้อมูลในการช่วยตัดสินใจ ถ้าเป็นคนที่พูดตามเทรนด์แต่ไม่มีอะไรมาสนับสนุน โอกาสที่จะได้งานตำแหน่ง CSM จะน้อยมาก ในการเตรียมตัว สามารถไปอ่าน Facebook Blueprint ได้ ใช้เวลาสัก 3 วันในการอ่าน แค่นั้นก็ช่วยค่อนข้างช่วยเรื่องโปรดักซ์ แต่ถ้าเรื่อง Behavior ก็ดูได้ตามกูเกิลปกติ อาจจะเสิร์ชว่า Behavior Interviewซึ่งใช้ได้กับบริษัทอื่นๆ เช่นกัน อย่างไรก็ตาม มันขึ้นอยู่กับ Hiring Manager คนที่สัมภาษณ์เราด้วยว่าเขาต้องการคนแบบไหน ส่วนพี่โน้ตเคยอยู่ทีมเฟสบุ๊คสิงคโปร์มา ในส่วนของ Partner Manager ดูแลเอเจนซี่ ต่างจากทีมไทย ตรงที่เราจะโฟกัสเอเจนซี่ประมาณ 50 เจ้า แบ่งรายคนไป รับคนละ 25 เจ้า สำหรับโน้ตไม่ได้ตั้งใจจะเข้า มีคนชวนเข้ามา แล้วค่อยมาดูว่างานนั้นต้องการคุณสมบัติอะไรบ้าง แต่เหมือนที่กานต์บอก ส่วนใหญ่เขาจะดูโปรไฟล์ก่อน คุยกันมาในโทรศัพท์ แล้วค่อยมาวัดกันวันจริงที่มาสัมภาษณ์ที่ออฟฟิศ ดังนั้นโปรไฟล์จึงมีความสำคัญระดับนึง ซึ่งเขาไม่ได้โฟกัสว่าคุณทำอะไรมา แต่สนใจว่าคุณนำเสนอออกมายังไงมากกว่า เพราะอย่างโน้ตก็มาจากอีคอมเมิร์ช ที่ปรึกษา เอเจนซี่ ผสมค่อนข้างเยอะ เราจะเล่าให้มันน่าสนใจยังไงมากกว่า โน้ตเองเคยเป็นคนสัมภาษณ์เหมือนกัน ต้องเข้าใจคนสมัครเข้าเฟสบุ๊คปีนึงมีเป็นหมื่นๆ คน ดังนั้นคนที่เข้ามาถึงรอบสัมภาษณ์ลึกๆ สกิลต่างๆ มีกันครบอยู่แล้ว จะมาตัดกันตรงที่ความกลมกลืนในการทำงานเป็นทีม เพราะบางคนอาจจะเก่งมาก โซโลคนเดียวได้ พอมาเข้าทีมแล้วอาจจะทำให้ทีมไปไม่รอด พูดง่ายๆ คือสมมติถ้าเราเป็นคนสัมภาษณ์ เราอยากจะทำงานกับคนไหนมากกว่ากัน สำหรับข้อควรระวัง อาจจะเป็นคำถามสุดท้ายของกรรมการ “มีอะไรอยากถามอีกมั๊ย” เราควรจะต้องถาม อาจจะเกี่ยวกับงานหรืออะไรที่เราสงสัยก็ได้ เพราะจะแสดงถึงความตั้งใจของเรา และไม่ควรถามเรื่องค่าตอบแทน เรื่องได้ไปเที่ยวต่างประเทศจนออกนอกหน้าเกินไป เพราะมันจะทำให้เราดูให้ความสำคัญกับเรื่องเที่ยวไม่ใช่เรื่องงาน ให้โอเคก็ควรเตรียมตัวไปสัก 2 – 3 คำถามและจะจบการสัมภาษณ์ยังไงให้ดีที่สุด

ภาษาอังกฤษสำคัญแค่ไหนในการเข้าทำงานที่เฟสบุ๊คประเทศไทย?

เฟสบุ๊คไม่ได้ขอผลสอบภาษาอังกฤษ และในการสัมภาษณ์สามรอบส่วนใหญ่จะสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าเป็นงานที่สื่อสารกับลูกค้าในประเทศเป็นส่วนใหญ่ อาจจะไม่สำคัญเท่าไหร่ แค่สื่อสารภาษาอังกฤษกับคนอื่นได้เข้าใจ ทำงานได้ แกรมม่าอาจจะไม่ต้องเป๊ะ ที่คาดหวังคือเวลามีโปรดักซ์หรืออะไรที่ต้องเรียนรู้ใหม่ๆ มาให้ศึกษา เราสามารถที่จะแปลและทำความเข้าใจได้ด้วยตนเอง

สามารถฟังพอดแคสต์ Marketing I Can
ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ที่คุณสะดวกหรือใช้อยู่แล้วได้เลย YoutubeSpotifyPodcast

FOLLOW US

FacebookInstagramYoutubeLine